มีรายงานล่าสุดระบุว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ดื่มกาแฟทุกวัน และการวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่ดี เมื่อพูดถึงการป้องกันโรคโควิด-19
.
ผลการศึกษาในปี 2564 ที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการอย่าง “Nutrients” พบว่า “ผู้ที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้ว อาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ
.
สำหรับการศึกษานี้ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ไฟน์เบิร์ก (Feinberg) ของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern) ได้วิเคราะห์ข้อมูลคนอังกฤษจำนวน 37,988 คน โดยอ้างอิงจาก Biobank หรือธนาคารชีวภาพ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านชีวภาพและการแพทย์ขนาดใหญ่ และรวบรวมไว้ซึ่งทรัพยากรด้านต่างๆ ของมนุษย์ ที่เป็นประโยชน์ต่อการการวิจัย
.
นักวิจัยวิเคราะห์พฤติกรรมการกินและดื่มของผู้เข้าร่วมระหว่างปี 2549 ถึง 2553 รวมถึงความถี่ที่พวกเขาดื่มกาแฟ ชา เนื้อแปรรูป เนื้อแดง ผลไม้ ผัก และปลาที่มีน้ำมัน...
.
ประกอบกับข้อมูลการทดสอบโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งผู้เข้าร่วมการศึกษา 17 เปอร์เซ็นต์ทดสอบ ผ่านการตรวจ PCR (การ Swab เก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณลำคอและหลังโพรงจมูก และจะทราบผลใน 2-3 วัน เนื่องจากต้องมีการวัดผลผ่านห้องปฏิบัติการ ถือเป็นการตรวจที่มีความถูกต้องแม่นยำ) และผลปรากฏว่าเป็นบวกต่อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวนั่นเอง
.
หลังจากคำนวณตัวเลขแล้ว นักวิจัยพบว่าผู้ที่ "บริโภคกาแฟเป็นนิสัย" อย่างน้อยวันละหนึ่งแก้วมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่าเพื่อนที่บริโภคกาเฟอีนน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
.
นักวิจัยยังค้นพบอีกด้วยว่า การกินผักและกินนมแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารกสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส อีกทั้งการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปยังเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าการกินเนื้อแดงจะไม่เพิ่มความเสี่ยงให้กับบุคคลก็ตาม
.
ที่สำคัญแพทย์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามวิธีการลดความเสี่ยงต่อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เช่น การฉีดวัคซีน และไม่ต้องพึ่งการดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว
.
หากผู้คนต้องการป้องกันตนเองจากโควิดอย่างเต็มที่ ควรจะเสริมการดื่มกาแฟของพวกเขาด้วยการฉีดวัคซีน และแน่นอน เพื่อความปลอดภัยในช่วงซัมเมอร์นี้
.
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 การเว้นระยะห่างทางสังคม และการฆ่าเชื้อของใช้ส่วนตัวด้วยเจลแอลกอฮอล์สม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 ได้.
ที่มาแหล่งข้อมูล : ไทยโพสต์ / กรมสุขภาพจิต